เสริมหน้าอกภาษาอังกฤษ (Breast augmentation ) เป็นวิธีการผ่าตัดที่ทำได้โดยใส่ถุงซิลิโคนหรือถุงน้ำเกลือเข้าไปที่ใต้หน้าอก ผลลัพธ์ที่ได้คือขนาดของหน้าอกที่ใหญ่ขึ้น รูปร่างของหน้าอกที่สวยงามและเท่ากัน รวมถึงช่องอกที่ชัดเจนกว่าเดิม ทำให้มีความมั่นใจในรูปร่างของตัวเองเพิ่มมากขึ้น
ใครบ้างที่สามารถเสริมหน้าอกได้
การเสริมหน้าอกเพื่อความงามนั้นมีข้อกำหนดอายุของผู้เข้ารับการเสริม เนื่องจากขนาดหน้าอกของผู้หญิงจะยังสามารถเพิ่มขึ้นได้จนถึงช่วงวัยรุ่นช่วงท้ายหรือประมาณอายุ 20 ปีต้น ๆ องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริการะบุคนที่เสริมหน้าอกด้วยการใช้ถุงน้ำเกลือได้ควรมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ส่วนการเสริมหน้าอกประเภทใช้ถุงเจลซิลิโคนจะต้องมีอายุ 22 ปีขึ้นไป
ในการผ่าตัดเสริมสร้างหน้าอกในคนป่วยโรคมะเร็งเต้านมที่จำเป็นต้องตัดเต้านมออกไป เพื่อให้กลับมามีหน้าอกทั้ง 2 ข้างเป็นปกติจะไม่มีข้อกำหนดอายุ สามารถทำได้ไม่ว่าคนป่วยอายุเท่าไรก็ตาม
ใครบ้างไม่ควรเสริมหน้าอก
ผู้ที่มีอาการติดเชื้อบริเวณใด ๆ ของร่างกาย
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือเคยมีประวัติป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมที่ยังไม่ได้รับการรักษา
หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ทั้ง 3 กลุ่มนี้ไม่แนะนำให้เสริมหน้าอกเนื่องจากกระบวนการผ่าตัดที่ใช้อาจมีผลต่อการรักษาอาการติดเชื้อหรือการเปลี่นแปลงของระบบทางเดินน้ำเหลือง และเป็นข้อคำนึงด้านความปลอดภัยของหญิงกำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร นอกจากนี้ ภาวะเหล่านี้ยังส่งผลถึงการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดอีกด้วย
การเตรียมตัวก่อนการเสริมหน้าอก
- ควรให้แพทย์ตรวจสุขภาพก่อนผ่าตัดเสริมหน้าอก เพื่อเช็คว่าเราพร้อมสำหรับการผ่าตัดมากแค่ไหน
- งดน้ำและอาหารเป็นเวลา 6 ชั่วโมงก่อนที่จะมีการผ่าตัด
- งดแอลกอฮอล์เด็ดขาด เป็นเวลาอย่างน้อย 5 วัน
- งดการสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2 อาทิตย์
- งดยาแก้ปวด วิตามิน อาหารเสริมต่าง ๆ หรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เป็นเวลาอย่างน้อย 2 อาทิตย์ เพื่อลดอาการบวมและอาการติดเชื้อหลังผ่าตัด
ขั้นตอนการผ่าตัดเสริมหน้าอก
แพทย์จะเปิดแผลผ่าตัดซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นที่รักแร้ เพราะว่าสามารถซ่อนรอยแผลเป็นได้ดี หลังจากนั้นจะเลาะช่องสำหรับวางถุงซิลิโคน อาจเป็นใต้ตัวเนื้อนมหรือใต้กล้ามเนื้อหน้าอกก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ เมื่อจัดวางถุงซิลิโคนเข้าที่เรียบร้อยแล้วหลังจากนั้นก็จะเย็บแผลปิดด้วยไหมขนาดเล็ก ๆ โดยทั่วไป การผ่าตัดเสริมหน้าอกจะใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 2-3 ชั่วโมง หลังการผ่าตัดต้องนอนพักในโรงพยาบาล 1 – 2 วัน ระยะเวลาในการพักฟื้นประมาณ 1 อาทิตย์ ในช่วง 2 -3 วันแรกหลังทำอาจมีความรู้สึกตึงและปวดได้ นับว่าเป็นอาการปกติ ส่วนตัวเต้านมจะค่อย ๆ ยุบบวมลงจนเข้าที่ใช้เวลาประมาณ 1 – 2 เดือน
ภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก
- การผ่าตัดเสริมหน้าอกที่เกิดภาวะแทรกซ้อนอาจทำให้ต้องรักษาหรือมีการผ่าตัดใหม่เพิ่มเติม ภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นได้ มีดังนี้
- มีเลือดสะสมบริเวณแผลผ่าตัดจนทำให้บวมและปวด มักเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดไม่นาน หรือบางทีอาจเกิดได้หากเต้านมได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้ก้อนเลือดสะสมที่มีขนาดใหญ่จนร่างกายไม่อาจจะดูดซึมกลับได้จะต้องรับการรักษาด้วยการใส่ท่อระบายเลือด
- มีของเหลวสะสมบริเวณซิลิโคนเสริม อาจทำให้มีอาการบวม เจ็บ และฟกช้ำ ของเหลวก้อนเล็กอาจถูกร่างกายดูดซึม แต่ถ้าหากมีขนาดใหญ่แพทย์จำเป็นต้องใช้ท่อระบายออก
- เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อเต้านมหรือซิลิโคนเสริมเต้านมเพราะการผ่าตัด
- มีการติดเชื้อ กรณีที่แผลผ่าตัดสัมผัสกับแบคทีเรียหรือเชื้อรา โดยจะสามารถแสดงอาการติดเชื้อได้ตั้งแต่ในวันแรก ๆ ไปจนถึงเป็นสัปดาห์ ทำให้มีอาการอักเสบ ระคายเคือง เจ็บ บวมแดง เป็นไข้ หรือร่างกายทำงานผิดปกติ ซึ่งหากคนป่วยไม่สนองตอบต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะก็อาจจะต้องนำเอาซิลิโคนเสริมหน้าอกออก
- อาการเจ็บหน้าอกบริเวณหัวนมหรือเต้านม
- อาการแดงหรือฟกช้ำจากการมีเลือดออกระหว่างผ่าตัดที่อาจจะทำให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีแดงได้ชั่วคราว
- แผลผ่าตัดหายช้า
- ต่อมน้ำเหลืองบวมโต
- ผิวหนังหรือเนื้อเยื่อบริเวณเต้านมอาจตาย เนื่องมาจากการติดเชื้อ การใช้สเตียรอยด์ในการผ่าตัด การสูบบุหรี่ การทำเคมีบำบัด การรักษาด้วยรังสี และการบำบัดด้วยความร้อนหรือความเย็นจัด
- มีความรู้สึกที่หัวนมหรือเต้านมมากขึ้นหรือลดลง อาจเกิดขึ้นชั่วคราวหรือถาวร และบางทีอาจมีผลต่อการตอบสนองทางเพศหรือการให้นมลูก ทำให้ไม่สามารถให้นมหรือมีผลิตน้ำนมได้น้อยลง
- เต้านมหลังการผ่าตัดอาจมีขนาด รูปร่าง หรืออยู่ในระดับที่ไม่เท่ากัน
- คนไข้หรือศัลยแพทย์อาจไม่พอใจกับรูปร่างหรือขนาดของหน้าอกใหม่หลังการเสริม
- ผิวหนังบริเวณเต้านมบางและเหี่ยวย่นลง
ภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดเสริมหน้าอกสามารถเป็นได้กันทุกคน หากไม่มีการดูแลที่ดี และไม่ปฏิบัติตัวตามแพทย์สั่งคุณก็สามารถเป็นภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้ ทางที่ดีก็ควรดูแลตัวเองให้ดีปฏิบัติตัวตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ไม่เกิดกับคุณอย่างแน่นอน
การดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก
- ระวังอย่าให้แผลถูกน้ำ ภายใน 5-7 วัน หลังผ่าตัดจนกว่าถึงวันที่แพทย์จะนัดตัดไหม ในกรณีที่พลาสเตอร์หรืออุปกรณ์ที่ติดแผลลอกหลุดหรือแผลลอกหลุดหรือบาดแผลถูกน้ำ ให้กลับมาทำแผลปิดพลาสเตอร์กันน้ำใหม่ที่โรงพยาบาล
- ผู้ป่วยสามารถอาบน้ำได้ตามปกติหลังจากถอดท่อระบายสายเดรน และปิดพลาสเตอร์กันน้ำแล้ว แต่ห้ามลงไปแช่ในอ่างน้ำหรือสระว่ายน้ำ
- ท่านอน ควรจะนอนให้ลำตัวส่วนบนสูง ประมาณ30-45 องศาและแนะนำให้นอนหนุนหมอนสูง ดันหลังสัก 2-3 ใบ ควรจะนอนพักมาก ๆ อย่างน้อย 5-7 วัน หลังผ่าตัด
- แพทย์จะนัดตัดไหมและตรวจเต้านมประมาณ วันที่ 5-7 หลังผ่าตัด ให้สังเกตแผลบริเวณเต้านม หากมีอาการอักเสบ บวม แดง มีเลือดหรือหนอง มีอาการปวดแผลมากขึ้นหรือมีไข้ขึ้น แนะนำควรรีบกลับมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยทันที
- วันที่ 5-7 วัน หลังผ่าตัดและตัดไหมแล้ว เมื่ออาการปวดดีขึ้น ให้เริ่มทำการนวดหน้าอกเบา ๆ ตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อป้องกันการเกิดพังผืดยึดเกาะเต้านม จนทำให้หน้าอกแข็ง
- สัปดาห์ที่2 หลังการผ่าตัด ให้เริ่มทำการนวดเต้านม ควรจะนวดคลึงเต้านม เป็นประจำอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อปกป้องปัญหา โพรงที่ใส่ถุงนมมีการหดรัด รอบถุง ทำให้เต้านมแข็ง หด เป็นก้อน
- ไม่ควรยกของหนักหรือบริหารร่างกายที่ใช้กล้ามเนื้อหน้าอก อย่างน้อย 6 อาทิตย์หลังผ่าตัด
- อาการบวมจะอยู่ประมาณ 4 อาทิตย์หลังการผ่าตัด โดยจะบวมอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์แรกหลังการผ่าตัด และจะลดลงเรื่อย ๆ จนปกติ ประมาณ 6 อาทิตย์ หลังการผ่าตัด
- ผู้ป่วยควรจะสวมเสื้อชั้นใน ประเภทไม่มีโครง ประมาณ 6 อาทิตย์ หลังจากนั้นสามารถสวมเสื้อในตามปกติที่ชอบได้
- การขับรถ สามารถขับได้หากไม่มีอาการปวดทุเลาลง โดยทั่วไป 5-7 วันหลังการผ่าตัด สามารถขับรถได้ถ้าเป็นพวงมาลัยพาวเวอร์
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งและมาตรวจตามนัด ยาแก้ปวดบางประเภท หรือยาฆ่าเชื้ออาจทำให้คลื่นไส้อาเจียนได้ ไม่ควรกินขณะท้องว่าง
ทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดเสริมหน้าอกมาแล้ว และคุณควรทำตามอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดได้ค่ะ